การเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในสัตว์
|
วิทยากร: สพ.ญ. ดร. ฉันทนี บูรณะไทย
สำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
โรคไข้หวัดนกชนิดความรุนแรงสูง
(Highly pathogenic avian influenza, HPAI) เป็นโรคใน List A ขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ
(OIE) เนื่องจากเป็นโรคที่ก่อความเสียหายอย่างสูงต่อการผลิตสัตว์ปีกและการค้าระหว่างประเทศ
โรคไข้หวัดนกยังเป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์สู่คนที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลไปทั่วโลกนับตั้งแต่การรายงานการติดเชื้อในมนุษย์เป็นครั้งแรกในฮ่องกงเมื่อปี
พ.ศ.2540 การเลี้ยงไก่เป็นปศุสัตว์แบบอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มีบุคลากรในสายการผลิตประมาณ 400,000 คน ทั้งนี้ยังไม่รวมบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
ดังนั้นกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ดำเนินการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกทั้งเชิงรับและเชิงรุกมานานกว่า
5 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2540-2545 มีตัวอย่างจากระบบการเฝ้าระวังเชิงรับทั้งสิ้น
3 ,600 ตัวอย่าง และ จากระบบการเฝ้าระวังเชิงรุก 912 ตัวอย่าง (pooled-sample)
จำแนกเป็นตัวอย่างจากการชันสูตรโรคสัตว์ปีกจำนวน 1,641 ตัวอย่าง ไม่มีตัวอย่างใดตรวจพบเชื้อไข้หวัดนก
ระบบการเฝ้าระวังเชิงรุกได้รับตัวอย่างจาก 398 ฝูงซึ่งเป็นตัวอย่างจากสัตว์ปีกที่มีอาการปกติ
จำนวน 23,880 ตัวจากหน้าโรงเชือด ไม่พบเชื้อไข้หวัดนกในทุกตัวอย่าง
นอกจากนี้ ตัวอย่างที่เก็บจากนกสวยงามเพื่อการส่งออกจำนวน 514 ตัว
ก็ไม่มีตัวอย่างใดพบเชื้อไข้หวัดนก จากการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์ระหว่างปี
พ.ศ. 2540-2546 ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงถึงการติดเชื้อไข้หวัดนกในประเทศไทย
จนกระทั่งวันที่
23 มกราคม 2547พบการระบาดของโรคไข้หวัดนกในฟาร์มไก่ไข่แห่งหนึ่ง ที่อำเภอบางปลาม้า
จังหวัดสุพรรณบุรี และพิสูจน์ได้ว่าเป็นเชื้อไข้หวัดนกชนิดรุนแรงสูง
H5N1 ในการระบาดรอบที่หนึ่ง (ระยะเวลา 5 เดือน 23 มกราคม 24 พฤษภาคม
2547) พบเชื้อไข้หวัดนก 190 ราย ใน 42 จังหวัด จุดเกิดโรคส่วนมากเขตภาคกลาง
ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบประปรายในเขตภาคเหนือตอนบน
และพบเพียง 1 รายในเขตภาคใต้ สัตว์ปีกที่ติดเชื้อจำแนกเป็น ไก่พื้นเมือง
58.5% ไก่ไข่ 12.4% ไก่เนื้อ 11.9% เป็ด 6.7% ห่าน 0.5% ที่เหลือเป็นนกกระทาและสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ
หลังจากนั้นไม่มีรายงานการเกิดโรคประมาณ 6 สัปดาห์ การระบาดรอบที่สอง
(ระยะเวลา 9 เดือน ระหว่าง 3 กรกฎาคม 2547 12 เมษายน 2548) เริ่มต้นเมื่อ
3 กรกฎาคม 2547 ในฟาร์มไก่ไข่แห่งหนึ่ง ที่อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พบเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ใน 51 จังหวัด ส่วนมากจะเป็นจังหวัดในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง
ส่วนมากพบการติดเชื้อในไก่พื้นเมือง (57%) รองลงมาคือเป็ด (29.2%)
ไก่เนื้อ (5.2%) ไก่ไข่ (4.63%) นกกระทา (1.99%) ที่เหลือเป็นสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ
(1.93%) การระบาดจะพบในไก่ที่เลี้ยงหลังบ้านและในเป็ดไล่ทุ่งเป็นส่วนใหญ่
มีจำนวนสัตว์ในแต่ละฝูงไม่มาก (ต่ำกว่า 500 ตัว) หลังจากนั้นโรคจึงสงบเกือบ
3 เดือน จนพบรายแรกของการระบาดรอบ 3 ในวันที่ 1 กรฎาคม 2548 การระบาดในปัจจุบันพบว่าเบาบางลงมากและพบเฉพาะในไก่พื้นเมือง
และผู้เลี้ยงรายย่อย จาก 1 กรกฏาคม 25 สิงหาคม 2548 พบเพียง 23 ราย
ใน 3 จังหวัดคือ สุพรรณบุรี กำแพงเพชร และ ชัยนาท ซึ่งเป็นจังหวัดเดิมที่เคยเกิดการระบาดทั้ง
2 รอบ
นอกจากนี้กรมปศุสัตว์ร่วมกับคณะสัตวแพทยศาสตร์
และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของไวรัส
H5N1เป็นระยะๆ ผลการวิเคราะห์แผนภูมิต้นไม้ (Phylogenetic analysis)
ของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกในประเทศไทยเปรียบเทียบกับเชื้อไวรัสไข้หวัดนกของฮ่องกงและประเทศอื่นๆที่มีรายงานระหว่างปี
2001-2004 พบว่าเชื้อ H5N1 ของประเทศไทยมีความคล้ายคลึงกับไวรัสที่พบที่เวียตนามในปี
2547 มากที่สุด มีลักษณะที่ก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคสูง (Highly
Pathogenic Avian Influenza, HPAI) ได้แก่ ตำแหน่งที่โปรตีนฮีเมกลูตินินจะถูกตัดมีกรดอมิโนที่เป็นเบสเรียงตัวอยู่หลายโมเลกุล
ที่ยีน นิวรามินิเดส มีรหัสพันธุกรรม (codon)หายไป 20 รหัส ที่ยีน
เอ็นเอส มีรหัสพันธุกรรม หายไป 5 รหัส และที่ยีน เอม-ทู และ พีบี-ทู
มีลักษณะ Polymorphism จากการถอดรหัสพันธุกรรมและศึกษาแผนภูมิต้นไม้ของไวรัสไข้หวัดนกทั้งหมดรวมทั้งเชื้อที่แยกได้จากเสือที่
ไม่พบว่ามีความแตกต่างจากไวรัสที่พบในตอนต้นของการระบาดคือมกราคม 2004
ไม่พบการเปลี่ยนจากฮีสติดีนเป็นไทโรซีนที่ตำแหน่ง 274 ของโปรตีนนิวรามินิเดส
หลังจากให้การรักษาด้วยยา โอเซทามิเวียร์ สำหรับไวรัสที่แยกได้จากเสือพบว่ามีการเปลี่ยนกรดอะมิโนไป
1 ตำแหน่ง คือที่ยีน พีบี-ทูมีการเปลี่ยนจากกลูตามีนเป็นไลซีนที่ตำแหน่ง
627 ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่บ่งชี้ถึงการก่อโรคในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
นอกจากนี้ยังพบว่าที่ยีน เอ็นเอส มีรหัสพันธุกรรม หายไป 5 รหัสเช่นเดียวกับไวรัสอื่นๆที่แยกได้ในการระบาดของประเทศไทย
จาการติดตามศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดนกในประเทศไทยไม่ว่าพบการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่สำคัญ
มาตรการการควบคุมโรคที่ดำเนินการอยู่คือ การทำลายสัตว์ปีกเฉพาะในรายที่สงสัยไข้หวัดนก
ให้ค่าชดเชยเท่าที่กฎหมายกำหนดคือ 75% ของราคาในท้องตลาด เพิ่มประสิทธิภาพการรายงานโรค
การเข้าทำลายสัตว์ที่สงสัยและการฆ่าเชื้อโรคอย่างรวดเร็ว เพิ่มศักยภาพในการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีก
เพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังเชิงรุก มีการดำเนินการที่สำคัญตามบัญชาของฯพณฯ
นายกรัฐมนตรีคือ โครงการเอ็กซเรย์ซึ่งหมายถึงการเฝ้าระวังเชิงรุกทางอาการในทุกครัวเรือนพร้อมกันทั่วประเทศ
ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว 3 รอบ
เมื่อเปรียบเทียบการระบาดทั้งสองรอบ
พบว่าในการระบาดรอบที่สองมีความพร้อมมากกว่าในทุกๆด้าน โดยเฉพาะการปรับปรุงมาตรการต่างๆโดยใช้ประสบการณ์และข้อมูลที่ได้จากการระบาดในรอบแรก
ความร่วมมือและการประสานงานจากหน่วยงานของกระทรวงต่างๆ นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่สำคัญอื่นๆ
ได้แก่การส่งเสริมให้มีการปรับปรุงการเลี้ยงสัตว์ปีกให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานมีระบบป้องกันโรคเข้าฟาร์มโดยสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความร่วมมือด้านเงินกู้แก่เกษตรกร
มีการจัดระบบโซนนิ่งแบ่งพื้นที่การเลี้ยงสัตว์ปีกตามภาวการณ์เกิดโรคไข้หวัดนกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์และการวางมาตรการในการเฝ้าระวังและป้องกันโรค
สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา การสร้างองค์ความรู้ กำหนดแผนเตรียมความพร้อมกรณีเกิดการระบาดใหญ่
มาตรการต่างๆเหล่านี้มีผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจนได้แก่การลดอุบัติการณ์และพื้นที่การเกิดโรค
และไม่มีการติดเชื้อสู่ประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ป่วยรายสุดท้ายมีรายงานเมื่อ
4 ตุลาคม 2547
<<back
|