การตรวจวิเคราะห์ไข้หวัดใหญ่ด้วยวิธีเร่งด่วนในประเทศไทย

Mark Simmerman (CDC-IEIP)
เรียบเรียงโดย รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ

หลักการของการทดสอบ
1. เป็นการตรวจหาแอนติเจนของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคน
2. ใช้ตัวอย่างที่เก็บจากระบบทางเดินหายใจส่วนต้น
3. ตัวอย่างส่งตรวจควรเก็บภายใน 4 วันแรกของการเจ็บป่วย

ข้อดีของการทดสอบ
1. ทำได้ง่าย
2. ได้ผลรวดเร็วภายใน 30 นาที
3. มีประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วย

ข้อจำกัดของการทดสอบ
1. ความไวและความจำเพาะไม่ดีเท่าการเพาะเลี้ยงในเซลล์และวิธีพีซีอาร์
2. ไม่สามารถบอกสัปทัยป์ของเชื้อ wfh
3. ไม่มีประโยชน์ในการพิจารณาประโยชน์ของวัคซีน
4. ราคาแพง

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อผลการทดสอบ
1. ความไวและความจำเพาะของการทดสอบ เท่ากับ 70-75% และ 90-99% ตามลำดับ
2. ตัวอย่างที่ส่งตรวจ – ชนิดและคุณภาพ วันที่เก็บ การปฏิบัติของผู้ตรวจตามวิธีมาตรฐาน และ ข้อจำกัดในการอ่านผล

การนำการทดสอบไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ
1. การสอบสวนการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ใช้ครั้งแรกใน จ.แม่ฮ่องสอน การทดสอบให้ผลบวก 47% ซึ่งได้รับการยืนยันความถูกต้องโดยวิธีพีซีอาร์

2. การหาสาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยนอก ที่ จ.สระแก้ว
          2.1 ตัวอย่างส่งตรวจจากการป้ายโพรงจมูก มีความไว 73% และความจำเพาะ 96%
          2.2 ความไวและความจำเพาะเพิ่มขึ้นเป็น 81% และ 99% เมื่อใช้ตัวอย่างส่งตรวจจากน้ำล้างโพรงจมูก
          2.3 ความไวและความจำเพาะสูงกว่าสำหรับเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ
          2.4 ความชุกของโรคที่เพิ่มขึ้นทำให้ความน่าเชื่อถือของการทดสอบเพิ่มขึ้น

3. การเฝ้าระวังโรค
          3.1 เพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังโรคในประเทศไทย มีการกระจายชุดทดสอบไปใช้ ทั่วประเทศ และอยู่ระหว่างการประเมินผล
          3.2 เพิ่มจำนวนสายพันธุ์ของเชื้อที่ส่งไปตรวจยังแล็บส์ขององค์การอนามัยโลก

4. การใช้ทดสอบกรณีโรคไข้หวัดนก
          4.1 มีความไวต่ำเพียง 48% และความจำเพาะ 86%
          4.2 การแปลผลต้องระมัดระวัง ควรพิจารณาอาการทางคลินิก ระบาดวิทยา และการสัมผัสโรคร่วมด้วย



<<back