Guideline สำหรับการใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่
(กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549)
ข้อคิดเห็นจาก
ความเป็นมา
ศ.นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ
ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่
ชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็นในการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ของประเทศไทย
เนื่องจาก จากการประชุม Influenza Inter-Pandemic Preparedness เมื่อวันที่ 10 ถึง 11 มีนาคม
2548 ณ
โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่
มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ได้รับมอบหมายจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ให้เป็นเจ้าภาพในการจัดทำ National Guideline for Influenza Vaccination
ดังนั้นจึงได้เรียนเชิญหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้อง และผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อร่วมกันจัดทำ National Guideline หาแนวทางหรือข้อสรุปมานำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนที่มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่จะนำเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
กลุ่มประชากรที่มีข้อบ่งชี้ในการได้รับวัคซีน
(1) กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการที่จะเกิดอาการแทรกซ้อน หลังจากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
-
บุคคลที่อายุ 65
ปีขึ้นไป
-
บุคคลทุกอายุที่เข้ารับการดูแลบริบาลอยู่ในสถานพยาบาลพักฟื้น
(nursing home)
และสถานที่รับดูแลโรคเรื้อรังต่าง ๆ
-
ผู้ใหญ่และเด็กทุกอายุที่มีโรคปอดเรื้อรัง
ผู้ที่มีระบบหายใจไม่ปกติหรือเสี่ยงต่อการสำลัก รวมถึงผู้ที่มีโรคลมชัก
บุคคลที่ไขสันหลังได้รับอันตราย ผู้ป่วยความจำเลอะเลือน
ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทกล้ามเนื้อ โรคระบบหัวใจ
(ไม่รวมถึงผู้ป่วยความดันโลหิตสูง) รวมทั้งเด็กโรคหอบหืดด้วย
-
ผู้ใหญ่หรือเด็กทุกอายุที่ต้องเข้ารับการรักษา
เป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำในปีก่อนด้วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ คือ โรคเบาหวาน
โรคไต โรคเลือด หรือมีภูมิคุ้มกันเสื่อมหรือบกพร่อง
ผู้ติดเชื้อเอ็ชไอวีรวมทั้งผู้ที่ได้รับยากดระบบอิมมูนด้วย
-
เด็กหรือวัยรุ่น (6
เดือน-18 ปี) ที่จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาด้วยแอสไพริน เป็นประจำนาน ๆ
และมีความเสี่ยงสูงต่อการป่วยกลุ่มอาการไรย์ หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่
(2)
กลุ่มที่อาจแพร่โรคไปสู่กลุ่มเสี่ยงสูงหรือบุคลากรที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค
ได้แก่
-
แพทย์-พยาบาล บุคลากรอื่น ๆ ในโรงพยาบาลทั้งที่ทำงานในหอผู้ป่วยและตึกผู้ป่วยนอก
-
เจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลพักฟื้น (nursing home)
และสถานที่บำบัดและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
-
บุคคลที่พักอยู่อาศัยและดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
-
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทำหน้าที่ในการสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว
-
เจ้าหน้าที่ทำลายซากสัตว์ปีกและสัตว์อื่นๆที่สงสัยว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
-
เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่
(3) กลุ่มอื่นๆ ได้แก่
-
ประชาชนทั่วไปที่ต้องการฉีด เพื่อป้องกันเป็นไข้หวัดใหญ่
-
บุคคลที่ทำหน้าที่บริการสาธารณะ ตำรวจ ทหาร บุรุษไปรษณีย์ คนขับรถขนส่งมวลชน
และรถรับจ้างสาธารณะ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
-
หญิงที่คาดว่าจะตั้งครรภ์ในระยะที่มีไข้หวัดใหญ่ระบาด, หญิงมีครรภ์
หลังไตรมาสแรก
-
ผู้เดินทางแสวงบุญ
นักเดินทางท่องเที่ยวหรือเพื่อธุรกิจ
บุคคลที่มีข้อห้ามของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
-
ผู้ที่มีประวัติการแพ้ไข่ไก่
ถ้าจะฉีดต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเสียก่อน แพทย์ให้ยากินป้องกันในระยะไข้หวัดใหญ่ระบาด
(สำหรับผู้ที่แพ้
แบบอะนาฟัยแล็กซิส ห้ามฉีดเด็ดขาด)
-
คนที่เคยแพ้การฉีดวัคซีนชนิดอื่น ๆ (แบบรุนแรง) มาก่อน
-
ขณะที่กำลังมีไข้สูง แต่ถ้าป่วยเป็นโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ
ให้ฉีดได้ด้วยความระมัดระวัง เช่นเด็กเป็นหวัดธรรมดา
ผลข้างเคียง และปฏิกิริยา ไม่พึงประสงค์
ที่พบ ได้แก่
-
ปวดบริเวณที่ฉีดซึ่งพบน้อยกว่าหนึ่งในสามของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน
-
ไข้
ปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามกล้ามเนื้อ พบไม่บ่อย
จะพบบ่อยขึ้นในบุคคลที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มาก่อน
ปฏิกิริยาดังกล่าวจะปรากฏ 6-12 ชั่วโมงหลังฉีด และอาจเป็นอยู่นาน 1-2 วัน
-
ปฏิกิริยาภูมิแพ้เฉียบพลัน เช่น ลมพิษ บวม หอบหืด
และอะนาฟัยแล็กซิสหลายระบบ (systemic
anaphylaxis) พบได้แต่น้อยมาก
จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าความคุ้มทุน (Cost-effectiveness) สำหรับการให้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มคนทำงานจะมีความคุ้มค่าสูงมาก
การให้วัคซีนเพื่อการป้องกันโรคควรให้วัคซีนในช่วงก่อนถึงฤดูการระบาดในแต่ละปี
ควรพิจารณาตามประกาศขององค์การอนามัยโลก ซึ่งจะประกาศให้ทราบว่า
ประชากรในซีกโลกภาคเหนือ
และซีกโลกภาคใต้ว่าให้ใช้สายพันธุ์ใดบ้างเป็นส่วนประกอบของวัคซีนที่จะเหมาะสมที่สุด
ซึ่งความแตกต่างมักส่วนใหญ่อยู่ที่สายพันธุ์ H3N2 ส่วนสายพันธุ์ H1N1 และสายพันธุ์ B มักไม่แตกต่างกัน
สำหรับประเทศไทย
ยังไม่มีความชัดเจนเพราะอยู่ใกล้ทั้งซีกโลกภาคเหนือและใต้ การเปรียบเทียบในหลายๆ
ปีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เพาะแยกได้ในประเทศไทยที่ผ่านมา ปรากฏว่า
สายพันธุ์ H3N2ที่พบในประเทศไทยบางปีก็มีแนวโน้มใกล้ไปทางซีกโลกภาคเหนือ
บางปีก็ใกล้ไปทางซีกโลกภาคใต้ บางปีก็เหมือนกับทั้งสองซีกโลก
การใช้วัคซีนจึงมักจะใช้ได้ทั้งวัคซีนของซีกโลกเหนือหรือซีกโลกใต้
ข้อสังเกตุและเสนอเป็นประเด็นเพื่อพิจารณา
มีดังนี้
1.
งบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อวัคซีน
2.
ใครเป็นผู้ชำระค่าวัคซีนให้กับผู้มีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีน
3.
กำหนดลำดับความสำคัญของผู้ที่ต้องได้รับวัคซีน (Priority setting) มีความสำคัญมาก
4.
Cost effectiveness
ของวัคซีนไข้หวัดใหญ่
5.
แนวทางการจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยวิธีพิเศษเพิ่มเติม
หรืองบประมาณพิเศษ
6.
มีหลักฐานแสดงถึง
Cost effectiveness ในกลุ่มผู้ป่วย COPD และโรคระบบทางเดินหายใจ
7.
การให้ข้อมูลวิชาการแก่แพทย์
ในเรื่องประโยชน์ของวัคซีนไข้หวัดใหญ่
8.
พบว่า
มีการใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำนวนมากในเด็ก
ทำให้ขาดแคลนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มที่มีความจำเป็น
9.
ปัจจุบันมี
Guideline ที่ใช้อยู่
ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนกที่ผ่านมา
10.
บุคลากรทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการเป็นกลุ่มเสี่ยง
ควรได้รับงบประมาณสนับสนุน
11.
ให้มีการพิจารณาลำดับความจำเป็นของกลุ่มประชากร
ร่วมกับงบประมาณสนับสนุนในการได้รับวัคซีน
12.
สายพันธุ์
(Strain) ที่ระบาด
กับการใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่เหมาะสม
13.
ความครอบคลุมของการได้รับวัคซีน
มีความสำคัญในแง่การควบคุมโรค