"ที่ผมภูมิใจมากที่สุด คือการทำฐานข้อมูลโรคที่เกิดจากไวรัส เพราะเมื่อมีข้อมูลพร้อม จะนำข้อมูลไปให้ฝ่ายบริการพิจารณาและตัดสินใจ เช่น การฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน การทำวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า การฉีดวัคซีนโปลิโอ และโรคไข้สมองอักเสบ ไม่ใช่ผมเก่งแต่ผมไม่กลัวความล้มเหลว และในระหว่างทำงานก็จะบอกตนเองเสมอว่า สามารถล้มเหลวได้ เพราะหากเรากลัวก็จะไม่ทำอะไรเลยทุกอย่างก็จม และเราต้องไม่ย่อท้อด้วย" ศาสตราจารย์เกียรติคุณ น.พ.ประเสริฐ
นายแพทย์ประเสริฐ กล่าวต่อว่า งานที่อยากทำต่อไป คือการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือการไม่ไปแสวงหาเชื้อ แต่การไม่แสวงหาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ ในการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นจึงอยากให้การศึกษาโดยเฉพาะกับเยาวชน เพื่อเป็นวัคซีนตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามยอมรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นยาก ดังนั้น วัคซีนและยายังมีความสำคัญอยู่ ซึ่งขณะนี้ยามีแล้วแต่ยังไม่สามารถรักษา เป็นเพียงแค่การชะลอเท่านั้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนอยากพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้
ด้านศาสตราจารย์เกียรติคุณ พรชัย มาตังคสมบัติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ศาสตราจารย์เกียรติคุณ น.พ.ประเสริฐ เป็นผู้ซึ่งทำงานด้านเชื้อไวรัสมานานกว่า 40 ปี มีความเชี่ยวชาญ แต่เวลาจะบอกสาธารณชนถึงอันตรายของเชื้อไวรัสเหล่านั้น จะต้องระมัดระวังอย่างมาก เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกในสังคม ซึ่งการชี้แนะแต่ละครั้งทำให้เกิดผลดี เพราะทำให้มีการระมัดระวังไม่ให้มีการแพร่กระจายของโรคมากขึ้น
ทั้งนี้รางวัลมหาวิทยาลัยมหิดล-บี บราวน์ เพื่อการแพทย์และสาธารณสุขไทยเป็นรางวัลที่มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท บี บราวน์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดให้มีขึ้นเป็นปีที่ 14 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ยอมรับเพื่อสุขภาวะที่ดีของประชาชนไทย ผู้ได้รับรางวัลจะได้รับเงิน จำนวน 700,000 บาท (เจ็ดแสนบาทถ้วน) และได้เข้ารับพระราชทานโล่พร้อมประกาศนียบัตรเกียรติคุณ จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2549 ณ อาคารใหม่สวนอัมพร
สำหรับผลงานของนายแพทย์ ประเสริฐ ทองเจริญ ด้านโรคติดเชื้อไวรัสที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทย ได้แก่ การศึกษาวิจัยโรคเอดส์ หัดเยอรมัน ไข้เลือดออก โรคไข้สมองอักเสบแจแปนีสเอ็นเซฟาไลติส (Japanese encephalitis viral disease) โรคตาแดงชนิดใหม่ โรคพิษสุนัขบ้า ไข้หวัดใหญ่ และซาร์ส
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ,วิทยาศาสตร์การแพทย์ 4 กรกฎาคม 2549 09:08 น.
|